รีวิว รถทัวร์ กรุงเทพ – โคราช

0
รีวิว รถทัวร์ กรุงเทพ - โคราช
รีวิว รถทัวร์ กรุงเทพ - โคราช

จองตั๋วรถบัสไปโคราช คลิ๊กเลย

สวัสดีเพื่อนๆ ชาวออกเดินทางทุกคนครับ วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ มารู้จักรถทัวร์สาย กรุงเทพ – โคราช (นครราชสีมา) ซึ่งโคราชเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดของประเทศไทย และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ นั่นเอง โคราชมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย อาทิเช่น เขาใหญ่ (อ.ปากช่อง) จุดชมวิว กังหันลม เขายายเที่ยง (อ.สีคิ้ว) วังน้ำเขียว สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย (อ.วังน้ำเขียว) จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม (อ.ปักธงชัย) อนุสาวรีย์ย่าโม (อ.เมือง) วัดหลวงพ่อโต (อ.สีคิ้ว) วัดบ้านไร่ (อ.ด่านขุนทด) ปราสาทหินพิมาย (อ.พิมาย) สะพานร่อยปี๋ (อ.ครบุรี) สวนสัตว์นครราชสีมา (อ.เมือง) ตลาดเซฟวัน (อ.เมือง) และสถานที่เที่ยวอื่นๆ อีกมากมาย เรามาเข้าเรื่องของการรีวิว รถทัวร์ กรุงเทพ – โคราช กันดีกว่า

ข้อมูลรถทัวร์ สายกรุงเทพ – โคราช

  • ค่าโดยสาร 209 บาท
  • ระยะทาง 259 กิโลเมตร
  • ระยะเวลาเดินทาง
    – ช่วงวันธรรมดาและรถไม่ติด ประมาณ 3.5 ชั่วโมง – 4 ชั่วโมง
    – ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ วันหยุด และรถติด 5-7 ชั่วโมง

บริษัทที่ให้บริการ รถทัวร์ สายกรุงเทพ – โคราช

  • แอร์โคราชพัฒนา
  • นครชัย 21 (นครชัยทัวร์)
  • เชิดชัยโคราช (ราชสีมาทัวร์)

รีวิว รถทัวร์ กรุงเทพ – โคราช แต่ละบริษัท

แอร์โคราชพัฒนา

ตารางเดินรถ

เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วที่หมอชิต 2 ชั้น 3

  • เคาน์เตอร์ 52 และ 53
เคาน์เตอร์ขายตั๋วแอร์โคราชพัฒนา หมอชิต 2

สิ่งอำนวยความสะดวก

  • ที่ชาร์จมือถือแบบ USB
  • แอร์เย็นสบาย
  • จองตั๋วผ่าน Call Center : 065-3941607
  • ห้องน้ำ
  • อาหารว่าง

สิทธิพิเศษเพิ่มเติม

  • มีเที่ยววิ่งเยอะสุด
  • ระบบบัตรสมาชิก
  • เดินทางครบ 15 เที่ยวฟรี 1 เที่ยว

ติดต่อสอบถาม


นครชัย 21 (นครชัยทัวร์)

ตารางเดินรถ

เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วที่หมอชิต 2 ชั้น 3

  • เคาน์เตอร์ 44 และ 65
เคาน์เตอร์ขายตั๋วนครชัย 21 หมอชิต 2

สิ่งอำนวยความสะดวก

  • ที่ชาร์จมือถือแบบ USB
  • มี Wifi Free
  • เบาะนวดไฟฟ้า
  • Lady Zone เพื่อสุภาพสตรี
  • แอร์เย็นสบาย
  • ห้องน้ำ
  • อาหารว่าง
  • มีผ้าห่มให้

สิทธิพิเศษเพิ่มเติม

  • ระบบบัตรสมาชิก
  • จองตั๋วผ่าน website และ App (NC Card)

ติดต่อสอบถาม


เชิดชัยโคราช (ราชสีมาทัวร์)

เชิดชัยโคราช (ราชสีมาทัวร์)

ตารางเดินรถ

  • มีรถออกทุกชั่วโมง (ภาพประกอบเป็นภาพเก่า)

เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วที่หมอชิต 2 ชั้น 3

  • เคาน์เตอร์ 49 และ 53
เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วกรุงเทพโคราชราชสีมา

สิ่งอำนวยความสะดวก

  • ที่ชาร์จมือถือแบบ USB
  • แอร์เย็นสบาย
  • ห้องน้ำ
  • อาหารว่าง

สิทธิพิเศษเพิ่มเติม

  • มีประกันเดินทางให้ผู้โดยสาร
  • VIP 3 ที่นั่งต่อแถว (แต่ไม่มีทุกเที่ยวต้องวัดดวง)

ติดต่อสอบถาม

  • 061-023-9292

สรุป สำหรับเราส่วนมากเวลาที่เราต้องนั่งรถทัวร์กรุงเทพ – โคราช เราจะใช้บริการรถทัวร์ของ นครชัย 21 เหตุผลหลักคือ สามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ 30 วัน ผ่านเว็บไซต์หรือ app ของบริษัท ซึ่งมันสะดวกสบายมาก โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา เราไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีรถกลับโคราช และไม่ต้องเสียเวลารอรถเป็นเวลานานอีกด้วย สำหรับคนที่สนใจจะเดินทางด้วยรถทัวร์ของ นครชัย 21 สามารถดูรีวิวการจองตั๋วได้จากลิงค์ด้านล่าง

ขั้นตอนการจองตั๋วรถทัวร์กรุงเทพ-โคราช ของนครชัย 21 ล่วงหน้า ผ่าน App NCT Card


ออกเดินทาง

กด LIKE และ FOLLOW แฟนเพจ Fackbook ออกเดินทาง ไว้ เพื่อรอลุ้นห้องพักแบบฟรี ๆ จากเราได้เลย
ฝากเพื่อนๆ ติดตามช่องทางอื่นๆ ด้วยนะครับ
แล้วเราจะ ” ออกเดินทาง ” ไปด้วยกันครับ

สิวหายเพราะ The Ordinary [รีวิวพลีชีพ]

0
The Ordinary เปลี่ยนหน้าสิว เป็นหน้าใส
The Ordinary เปลี่ยนหน้าสิว เป็นหน้าใส

สวัสดีเพื่อนๆ แฟนออกเดินทาง ทุกคนนะครับ ต้องบอกก่อนเลยว่าโพสนี้คิดและตัดสินใจอยู่นานว่าจะเขียนหรือไม่เขียนดี เพราะเป็นรีวิวพลีชีพมากๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรนั่นหรอ เดี๋ยวออกเดินทางจะเล่าให้ฟัง

ผมเป็นคนที่เป็นสิวมาตั้งแต่อายุ 14 ปี จนถึงตอนนี้ 30+ แล้วก็ยังเป็นอยู่ หมดเงินกับการรักษาสิวไปเยอะมาก ใครบอกว่าหมอไหนดี คลีนิคไหนดี เราไปหมด แต่ก็ไม่หายขาดสักที เป็นๆ หายๆ จนปลายปีที่ผ่านมาช่วงเดือนธันวาคม เราได้รู้จักแบนด์เครื่องสำอางแบนด์หนึ่งโดยบังเอิญผ่านทาง youturb (เป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ชาวต่างชาติ) ซึ่งยูทูบเบอร์คนนี้ได้รีวิวและแนะนำวิธีการรักษาสิวด้วยตนเอง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ของ The Ordinary (ดิ ออ ดินารี่) ซึ่งเป็นแบนด์สัญชาติแคนนาดา ที่เหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์ใช้กันอย่างมากมาย เนื่องจากราคาสินค้าไม่แพง แต่คุณภาพของสินค้านั้นดีมาก ดีเกินราคา

หลังจากนั้นผมก็เริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า The Ordinary | ดิ ออ ดินารี่ อย่างจริงจัง จนในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อมาลองใช้ ผลปรากฎว่า มันดีมาก ภายในระยะเวลา 6 เดือน ผิวหน้าผมดีขึ้นมาก สิวหาย จะเหลือแค่รอยดำจากสิวนิดหน่อย และหลุมสิว มาดูกันดีกว่าว่าผมใช้ The Ordinary | ดิ ออ ดินารี่ ตัวไหนบ้าง และแต่ละสูตรมีคุณสมบัติอย่างไร และช่วยแก้ปัญหาเรื่องอะไร

โดยในระยะเวลา 6 เดือน ที่ผ่านมา ผมใช้สกินแคร์ของ The Ordinary ทั้งหมด 6 ตัว ประกอบไปด้วย

1. The Ordinary Niacinamide 10% + Zinc 1%
คุณสมบัติ : ช่วยลดสิว ลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน ปรับผิวเรียบเนียน ลดรอยแดงรอยดำจากสิว ควบคุมความมันบนใบหน้า ช่วยลดแบคทีเรียที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดสิว อีกทั้งยังช่วยปรับสีผิวให้สว่างขึ้น

2. The Ordinary Alpha Arbutin 2% + HA
คุณสมบัติ : ช่วยลดรอยดำ รอยแดงจากสิว ฝ้า กระ จุดด่างดํา และทำให้ผิวขาวสว่างสดใส อีกทั้งยังทำให้หน้านุ่มชุ่มชื่น

The ordinary Glycolic Acid 7% Toning Solution

3. The Ordinary Glycolic Acid 7% Toning Solution
คุณสมบัติ : ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ลดสิวอุดตัน เผยผิวกระจ่างใส แก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว และยังช่วยให้ผิวเรียบเนียนอีกด้วย

4. The Ordinary AHA 30% + BHA 2% Peeling Solution
คุณสมบัติ : ช่วยผลัดเซลล์ผิวหน้า ทำให้ผิวสว่างกระจ่างใสและสีผิวสม่ำเสมอ ลดสิวอุดตันในรูขุมขน อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอยเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง

The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5

5. The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5
คุณสมบัติ : ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง ปราศจากริ้วรอย ดูเรียบเนียน มีความชุ่มชื้น และเป็นตัวช่วยในการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวอีกด้วย

6. The Ordinary Vitamin C Suspension 30% in Silicone
คุณสมบัติ : ช่วยให้ผิวขาวสว่างกระจ่างใส ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดเลือนริ้วรอย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ


การรักษาสิวด้วย The Ordinary | ดิ ออ ดินารี่

ผมแบ่งการรักษาออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรก (เดือนที่ 1 – เดือนที่ 3 ) ผมจะเน้นตัวผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิวเป็นหลัก ส่วนช่วงหลังเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษารอยดำ/รอยแดงจากสิว และหน้าขาวใส (เดือนที่ 4 – เดือนที่ 6 )

ช่วงแรก (เดือนที่ 1 – เดือนที่ 3 ) ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิว

รักษาสิวด้วย The Ordinary
  1. The Ordinary Niacinamide 10% + Zinc 1%
  2. The Ordinary Alpha Arbutin 2% + HA
  3. The Ordinary Glycolic Acid 7% Toning Solution
  4. The Ordinary AHA 30% + BHA 2% Peeling Solution

วิธีใช้ The Ordinary | ดิ ออ ดินารี่ เพื่อรักษาสิว

ตอนเช้า ล้างหน้าให้สะอาดและเช็ดหน้าให้แห้ง ลง The Ordinary Niacinamide 10% + Zinc 1% ก่อน แล้วตามด้วย The Ordinary Alpha Arbutin 2% + HA สุดท้ายทากันแดด (แนะนำให้เพื่อนๆ ใช้กันแดดที่มีค่า SPF 50+ นะครับ)

ตอนเย็น ล้างหน้าให้สะอาดและเช็ดหน้าให้แห้ง ใช้สำลีแผ่นเทโทเนอร์ลงไป (The Ordinary Glycolic Acid 7% Toning Solution) แล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้าและลำคอ โดยไม่ต้องล้างออก จากนั้นลง The Ordinary Niacinamide 10% + Zinc 1% และตามด้วย The Ordinary Alpha Arbutin 2% + HA

ส่วนตัว The Ordinary AHA 30% + BHA 2% Peeling Solution ( ดิ ออดินารี่ มาร์คแดง ) ผมใช้แค่อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละไม่เกิน 10 นาที ในตอนกลางคืน ทาทั่วใบหน้าและลำคอโดยใช้ปลายนิ้ว หลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตา แล้วทิ้งไว้ไม่เกิน 10 นาที หลังจากนั้นล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น ถ้าใช้มาร์คแดง ไม่ควรใช้สินค้าตัวอื่นร่วมด้วย

รีวิว The Ordinary รักษาสิวและหน้าขาวใส

ช่วงหลัง (เดือนที่ 4 – เดือนที่ 6 ) ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิวและหน้าขาวใส

  1. The Ordinary Niacinamide 10% + Zinc 1%
  2. The Ordinary Alpha Arbutin 2% + HA
  3. The Ordinary Glycolic Acid 7% Toning Solution
  4. The Ordinary AHA 30% + BHA 2% Peeling Solution
  5. The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5
  6. The Ordinary Vitamin C Suspension 30% in Silicone

วิธีใช้ The Ordinary | ดิ ออ ดินารี่ เพื่อรักษาสิวและหน้าขาวใส

ตอนเช้า ล้างหน้าให้สะอาดและเช็ดหน้าให้แห้ง ลง The Ordinary Niacinamide 10% + Zinc 1% ก่อน แล้วตามด้วย The Ordinary Alpha Arbutin 2% + HA สุดท้ายทากันแดด (แนะนำให้เพื่อนๆ ใช้กันแดดที่มีค่า SPF 50+ นะครับ)

ตอนเย็น ล้างหน้าให้สะอาดและเช็ดหน้าให้แห้ง ใช้สำลีแผ่นเทโทเนอร์ลงไป (The Ordinary Glycolic Acid 7% Toning Solution) แล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้าและลำคอ โดยไม่ต้องล้างออก จากนั้นลง The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5 และตามด้วย The Ordinary Vitamin C Suspension 30% in Silicone

ส่วนตัว The Ordinary AHA 30% + BHA 2% Peeling Solution ( ดิ ออดินารี่ มาร์คแดง ) ผมใช้แค่อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละไม่เกิน 10 นาที ในตอนกลางคืน ทาทั่วใบหน้าและลำคอโดยใช้ปลายนิ้ว หลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตา แล้วทิ้งไว้ไม่เกิน 10 นาที หลังจากนั้นล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วลง The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5


ตอนนี้ สกินแคร์ของ The Ordinary มีของปลอม ออกมาค่อนข้างเยอะในตลาด ขอให้เพื่อนๆ เลือกซื้อจากร้านที่หน้าเชื่อถือ (อย่าซื้อเพียงเพราะราคาถูก) แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่รู้จะซื้อที่ไหน ผมแนะนำร้านนี้ครับ ร้าน อิน ทูมาย ช็อป | IN TOMY SHOP ผมก็ซื้อมาจากร้านนี้ ราคาไม่แพง และได้ The Ordinary ของแท้

ร้าน อิน ทูมาย ช็อป | IN TOMY SHOP
LINE : @intomyshop
Fackbook : IN TOMY SHOP
IG : IN TOMY SHOP
www.intomyshop.net


อัพเดต หน้าตอนนี้ครับ

รีวิว The Ordinary

ออกเดินทางขอเป็นกำลังใจ ให้เพื่อนๆ ทุกคน ที่กำลังเจอปัญหากับสิวนะครับ สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเรารักษาให้ถูกวิธีก็สามารถหายได้


 

ออกเดินทาง

กด LIKE และ FOLLOW แฟนเพจ Fackbook ออกเดินทาง ไว้ เพื่อรอลุ้นห้องพักแบบฟรี ๆ จากเราได้เลย Facebook : https://www.facebook.com/okdentang
ฝากเพื่อนๆ ติดตามช่องทางอื่นๆ ด้วยนะครับ
แล้วเราจะ ” ออกเดินทาง ” ไปด้วยกันครับ

เที่ยวปันสุข เตรียมพร้อมลงทะเบียน

2
เที่ยวปันสุข

โควิด-19 (COVID 19) ทำให้เศรษฐกิจของบ้านเราชะลอตัว โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักต้นๆ ของประทศ เนื่องจากปัญหา โควิด 19 ในหลายๆ ประเทศยังคงวิกฤติอยู่ ทำให้เรายังไม่สามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้ รัฐบาลจึงมีโครงการ เที่ยวปันสุข ออกมาให้ประชาชนภายในประเทศ ออกไปท่องเที่ยว ใช้จ่ายเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เสริมสภาพคล่อง และเพื่อทำให้ในระบบเศรษฐกิจของเราเข้าสู่ภาวะปกติ

สรุปโครงการ เที่ยวปันสุข ทั้ง 3 แพ็คเกจ

แพ็คเกจที่ 1 กำลังใจ

งบประมาณ2,400 ล้านบาท
ให้สิทธิ์แก่บุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง อสม.
จำนวนสิทธิ์1 คนต่อ 1 สิทธิ์ (จากจำนวนที่คาดว่ามีทั้งหมดประมาณ 1.2 ล้านคน)
สิทธิประโยชน์เพื่อตอบแทนบุคลากรแนวหน้า ในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ประกอบด้วย อสม. และเจ้าหน้าที่ รพ.สต.รวม 1.2 ล้านคน
โดยให้เที่ยวฟรีผ่านบริษัทนำเที่ยว 13,000 ราย 2 วัน 1 คืน ไม่เกิน 2,000 บาท ต่อ 1 คน

แพ็คเกจที่ 2 เราไปเที่ยวกัน

งบประมาณ18,000 ล้านบาท
ให้สิทธิ์แก่ประชาชนทั่วไป
จำนวนสิทธิ์1 คนต่อ 1 สิทธิ์
สิทธิประโยชน์รัฐบาลจะช่วยจ่ายค่าโรงแรม 40% ต่อคืน แต่สูงสุดไม่เกิน 3,000 ต่อคืน สามารถรับสิทธิ์ได้ไม่เกิน 5 คืน
(โดยนักท่องเที่ยวต้องอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และจะต้องเป็นการเข้าพักนอกจังหวัดที่ตนเองมีทะเบียนบ้านอยู่
และจ่ายด้วยบัตรเครดิต พร้อมเพย์ หรือ QR)

แพ็คเกจที่ 3 เที่ยวปันสุข

งบประมาณ2,000 ล้านบาท
ให้สิทธิ์แก่ประชาชนทั่วไป
จำนวนสิทธิ์1 คนต่อ 1 สิทธิ์
สิทธิประโยชน์เพื่อช่วยเหลือกลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศ รวมถึงกลุ่มรถเช่า
โดยรัฐบาลจะทำการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ 40% ไม่เกิน 1,000 บาท ต่อ 1 คน

การลงทะเบียน

รัฐบาลจะเปิดให้ลงทะเบียน ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม 2563 ผ่านแพลตฟอร์มของธนาคารกรุงไทย

ขอให้เพื่อนๆ ออกเดินทางท่องเที่ยวกันให้สนุก และมีความสุขครับ

ที่มา : รัฐบาลไทย https://www.thaigov.go.th/

[รีวิว] ระหว่าง La Roche Posay Hyalu B5 Serum กับ The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5 ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนดี

0
[รีวิว] ระหว่าง La Roche Posay Hyalu B5 Serum กับ The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5 ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนดี cover

มาเริ่มกันที่แบนด์ La Roche Posay (ลา โรช โพเซย์) เป็นแบรนด์เวชสำอาง สัญชาติฝรั่งเศส โดยผลิตภัณฑ์ทุกตัว ของ ลา โรช โพเซย์ จะต้องมีน้ำแร่ ลา โรช โพเซย์ เป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลัก และ ลา โรช โพเซย์ ยังได้ชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ ดูแลผิวพรรณชั้นนำที่แพทย์ผิวหนังในยุโรปแนะนำ ข้อเสียราคาค่อนข้างสูง แต่สามารถซื้อได้ง่าย ตามร้านค้าทั่วไป

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ La-Roche-Posay-logo.png

ส่วน The Ordinary (ดิ ออดินารี่ ) สกินแคร์จากประเทศแคนาดา ราคาหลักร้อย แต่คุณภาพดีเท่าครีมเคาท์เตอร์แบรนด์ มีสินค้าหลากหลายให้เลือกใช้ตามลักษณะผิวหน้าของแต่ละบุคคล แต่ข้อเสีย คือ หาซื้อยาก และมีของปลอมเยอะมากในตลาด ต้องซื้อออนไลน์และเลือกซื้อร้านที่เชื่อถือได้

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ The-Ordinary-logo.png

เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์คู่แฝดพี่น้อง ลา โรช โพเซย์ ไฮยาลู บี 5 เซรั่ม กับ ดิ ออดินารี่ ไฮยาลูโรนิค 2% + บี 5 เหมือนหรือต่างกันมาดูกันเลย

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ รีวิว-ระหว่าง-La-Roche-Posay-Hyalu-B5-Serum-กับ-The-Ordinary-Hyaluronic-Acid-2-B5-ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนดี-cover-1024x576.jpg

La Roche Posay Hyalu B5 Serum (ลา โรช โพเซย์ ไฮยาลู บี 5 เซรั่ม) The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5 (ดิ ออดินารี่ ไฮยาลูโรนิค 2% + บี 5)
ราคา 1500 บาท (watsons online) ราคา 450 บาท (อิน ทูมาย ช็อป)
ขนาด 30 มล. ขนาด 30 มล.
เนื้อผลิตภัณฑ์ เซรั่ม เนื้อผลิตภัณฑ์ เซรั่ม
คุณสมบัติ : เซรั่มลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อยจากการระคายเคือง เหมาะสำหรับผิวบอบบางระคายเคืองง่ายเป็นพิเศษ คุณสมบัติ : เซรั่มช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง ปราศจากริ้วรอย ดูเรียบเนียน มีความชุ่มชื้น และเป็นตัวช่วยในการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวอีกด้วย
แพ็คเก็จ ขวดดรอปเปอร์ สีใส
ส่วนประกอบ ส่วนประกอบ
AQUA / WATER AQUA / WATER
GLYCERIN GLYCERIN
ALCOHOL DENAT ไม่มี แอลกอฮอล์
PROPYLENE GLYCOL PROPYLENE GLYCOL
PANTHENOL (Vitamin B5) PANTHENOL (Vitamin B5)
PENTYLENE GLYCOL HEXYLENE GLYCOL
DIMETHICONE
PEG-6 CAPRYLIC/CAPRIC GLYCERIDES
PPG-6-DECYLTETRADECETH-30
GLYCERYL ISOSTEARATE
MADECASSOSIDE
SODIUM HYALURONATE SODIUM HYALURONATE
AMMONIUM POLYACRYLOYLDIMETHYL TAURATE TRISODIUM ETHYLENEDIAMINE DISUCCINATE
DISODIUM EDTA
HYDROLYZED HYALURONIC ACID SODIUM HYALURONATE CROSSPOLYMER
ให้ความชุ่มชื่นมากกว่า HYDROLYZED HYALURONIC ACID ถึง 5 เท่า
CAPRYLYL GLYCOL CAPRYLYL GLYCOL
CITRIC ACID CITRIC ACID
XANTHAN GUM
BUTYLENE GLYCOL ETHOXYDIGLYCOL
TOCOPHEROL
PHENOXYETHANOL PHENOXYETHANOL
PARFUM /FRAGRANCE ไม่ใส่น้ำหอม
AHNFELTIA CONCINNA EXTRACT
ISOCETETH-20
ETHYLHEXYLGLYCERIN
HEXANEDIOL

หมายเหตุ ตัวหนาและเอียง คือ สารประกอบหลักของผลิตภัณฑ์

สรุป ผลิตภัณฑ์ทั้งสองตัว มีส่วนประกอบหลักที่คล้ายกันมาก จึงทำให้มีคุณสมบัติที่เหมือนกัน คือ เติมน้ำให้ผิว ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย และความหย่อนคล้อยของผิว เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ สามารถเลือกซื้อได้ตามงบที่ตัวเองมีได้เลย

สำหรับคนที่มีงบน้อยแต่อยากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีคุณภาพ เราแนะนำแบรนด์ The Ordinary (ดิ ออดินารี่ ) ซึ่งท่านสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้จากร้าน อิน ทูมาย ช็อป | IN TOMY SHOP ซึ่งเป็นสินค้า ดิ ออดินารี่ ของแท้ 100 % แถมจัดส่งฟรี EMS อีกด้วย ท่านสามารถคลิ๊กจากลิงค์ด้านล่างได้เลย

The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ the-ordinary-hyaluronic-acid2pct-b5_2.jpg


เพื่อนๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง FB, IG, LINE และเว็บไซต์ ได้ตามด้านล่าง
FB : อิน ทูมาย ช็อป
IG : IN TOMY SHOP
Line : @INTOMYSHOP
www.intomyshop.net

 


ออกเดินทาง

กด LIKE และ FOLLOW แฟนเพจ Fackbook ออกเดินทาง ไว้ เพื่อรอลุ้นห้องพักแบบฟรี ๆ จากเราได้เลย
ฝากเพื่อนๆ ติดตามช่องทางอื่นๆ ด้วยนะครับ
แล้วเราจะ ” ออกเดินทาง ” ไปด้วยกันครับ

big data (ข้อมูลมหัต)

0
big data (ข้อมูลมหัต)

สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ได้เผยแพร่ผ่าน FACEBOOK ข้อความ big data ในวงเว็บ (ข้อมูลมหัต) พร้อมทั้งอธิบายความหมายว่า

big data (ข้อมูลมหัต)

เซตข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนมาก ประกอบด้วยลักษณะอย่างน้อย 3 ประการ คือ
1. มีปริมาตร (volume) มาก
2. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง (velocity)
3. มีความหลากหลายในโครงสร้างข้อมูล (variety)

นอกจากนี้ อาจมีองค์ประกอบอื่นเพิ่มเติม เช่น มีความแปรผันสูงและมีความซับซ้อนมาก เนื่องจากอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่มีโครงสร้างที่แน่นอน เช่น เมทริกซ์ข้อมูล หรือไม่มีโครงสร้าง เช่น ข้อความ อีเมล วีดิทัศน์ หรือรวบรวมมาจากหลายแหล่ง

อีกทั้งยังมีความอื่นๆ อีกได้แก่

machine learning (การเรียนรู้ของเครื่อง)

สาขาหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนามาจากการศึกษาการรู้จำแบบ เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการสร้างอัลกอริทึมที่สามารถเรียนรู้ข้อมูลและทำนายข้อมูลได้ อัลกอริทึมนั้นจะทำงานโดยอาศัยโมเดลที่สร้างมาจากชุดข้อมูลตัวอย่างเพื่อการทำนายหรือตัดสินใจโดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมไว้อย่างชัดแจ้ง
การเรียนรู้ของเครื่องต้องอาศัยวิธีการทางสถิติศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยเชื่อมโยงกับองค์ความรู้อื่นที่ต้องการนำไปประยุกต์ เช่น การแพทย์ ชีวสารสนเทศศาสตร์ เคมีสารสนเทศศาสตร์

predictive analytics (การพิเคราะห์เชิงทำนาย)

เทคนิคเชิงสถิติต่าง ๆ เช่น การสร้างตัวแบบเพื่อการทำนาย การเรียนรู้ของเครื่อง และการทำเหมืองข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงหรือสกัดสารสนเทศจากข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอดีต เพื่อทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น แนวโน้ม แบบรูปของพฤติกรรม โดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม มักใช้ในงานด้านวิทยาการประกันภัย การตลาด และการเงิน เทคนิคที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น การกำหนดคะแนนความวางใจ ซึ่งใช้ข้อมูลในอดีตเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินและประวัติการชำระหนี้ของลูกค้า เพื่อจัดอันดับความวางใจของลูกค้าในการชำระหนี้

data mining (การทำเหมืองข้อมูล)

กระบวนการในการค้นหาแบบรูปและความสัมพันธ์ที่มีในเซตข้อมูลมหัต (big data) ซึ่งอาจมาจากระบบฐานข้อมูลหลากหลายโดยใช้วิธีการต่าง ๆ ของสถิติศาสตร์ และการเรียนรู้ของเครื่อง เพื่อให้ได้องค์ความรู้ใหม่ที่สามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ เช่น การเงิน ธุรกิจ การแพทย์ ยุทธศาสตร์ทหาร


ที่มา : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รวมโปรแกรมสำหรับการนำเสนอข้อมูล Data Visualization

2
Program Data Visualization

สวัสดีครับเพื่อน ๆ วันนี้ Power of Data จะพาเพื่อน ๆ มารู้จักกับโปรแกรมสำหรับช่วยให้การนำเสนอข้อมูล หรือการทำ Data Visualization นั้นง่ายขึ้น โดยที่สามารถนำเสนอข้อมูลให้เข้าใจง่าย มีความสวยงาม ซึ่งหลายๆ คนอาจจะรู้จักในชื่อที่เรียกว่า โปรแกรม BI หรือ Business Intelligence เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีโปรแกรมบ้าง และแต่ละโปรแกรมมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

ข้อดี | Tableau

  1. ข้อจำกัดในการแสดงผลต่ำ ทำให้สามารถสร้างรายงานได้ตามความต้องการ มีความยืดหยุ่นสูง รองรับได้กับ Database รูปแบบต่าง ๆ
  2. หนึ่งหน้าการแสดงผลจะโชว์ 1 กราฟ ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน
  3. มี Free Dashboard Gallery เปิดให้สามารถดาวน์โหลดมาลองเล่นได้
  4. เหมาะกับการทำ Analytics เพราะความสามารถในการสร้างมุมมองแบบ Drill down ได้ดี
  5. สามารถเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลได้หลากหลาย
  6. ตัว Filter มี Apply Button สามารถเลือก Filter จนครบตามที่ต้องการแล้วกดตกลง ทำให้ระบบ จะทำการโหลดเพียงครั้งเดียว
  7. สามารถแก้ไขชื่อ Column และ ข้อมูลประเภท Discrete Data ได้
  8. สามารถทำการ Join Data ได้
  9. สามารถแก้ไขประเภทของข้อมูลได้ง่าย
  10. สามารถแก้ไข ข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบ Pivot หรือ Stack ได้
  11. สามารถเพิ่ม Template สีเองได้ แต่ต้องมีความสามารถเชิง Programming
  12. สามารถสร้าง Annotation หรือ กล่องข้อความ ชี้จุดสังเกตบนกราฟได้
  13. ระบบ Tooltips สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย
  14. Dashboard แต่ละหน้า มีความเป็น อิสระต่อกัน
  15. รองรับการดู Report ผ่านโทรศัพท์มือถือ

ข้อเสีย | Tableau

  1. ผู้พัฒนารายงานต้องฝึกทักษะเฉพาะของโปรแกรม เพราะแนวทางการใช้งานแตกต่างจากทักษะทั่วไป เช่น Excel
  2. ถ้ามีการสร้างจำนวนใช้งานหลากหลายหน้าจะทำให้ผู้ใช้งานเกิดความสับสนได้
  3. จำเป็นต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้วิธีการใช้งานค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโปรแกรมอื่น
  4. ปรแกรมจะเปลี่ยนสีให้เองอัตโนมัติในบางครั้ง
  5. โปรแกรมเลือกกราฟให้เองอัตโนมัติซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ใช่กราฟที่ผู้ใช้งานต้องการ ต้องทำการแก้ไขเอง
  6. ข้อมูลทั้งหมดจะต้องจัดเตรียมให้อยู่ในรูปแบบ Transaction Data ทำให้จำนวน Row มากขึ้นเกินพอดี
  7. เลือก Object เป็น Tiled หรือเลือกเป็น Floating อาจจะจัดยากในระดับนึงหากไม่คุ้นเคย
  8. ตัว Online มีข้อจำกัดเช่น ปรับสี ขนาดรูปแบบฟ้อนต์ หรือเส้นต่าง ๆ

ราคา | Tableau

  • Tableau แบบ Creator = 26,880 บาท/License (ขั้นต่ำ 1 License)
  • Tableau แบบ Explorer = 13,440 บาท/License (ขั้นต่ำ 5 License)
  • Tableau แบบ Viewer = 4,608 บาท/License (ขั้นต่ำ 100 License)

ข้อดี | Power BI

  1. ใช้งานง่ายเหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปที่เคยใช้โปรแกรม Excel มาก่อน
  2. มีรูปแบบการแสดงผลต่าง ๆ แบบฟรีให้เลือกใช้งาน
  3. รองรับการดู Report ผ่านโทรศัพท์มือถือ
  4. มีกลุ่มเครือข่ายที่สามารถแบ่งปันการใช้งานโปรแกรมได้และข้อมูลส่วนใหญ่ทันสมัย
  5. มีชุดของข้อมูลที่สามารถนำมาเป็นสูตรคำนวณให้ใช้ได้
  6. สามารถใช้งานเชื่อมกับไฟล์ได้หลากหลายประเภทหากใช้แบบ Desktop
  7. สามารถจัดระเบียบกราฟได้ง่าย
  8. สามารถเลือกได้ว่าจะให้ Object ไหน Interact กับ Object ไหนได้บ้าง
  9. สามารถเลือกใช้รูปแบบ ให้เหมือนกันได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องต้องกดเลือกหลายครั้ง
  10. สามารถกดเลือกทุกอย่างที่แสดงอยู่บนหน้าโปรแกรม หน้าเดียวได้
  11. สามารถ Copy and Paste กราฟ และ Function ต่างๆ ได้

ข้อเสีย | Power BI

  1. ข้อจำกัดในการขึ้นระบบบน Cloud หรืออัพเดทข้อมูลแบบสมบูรณ์แบบจำเป็นต้องจะต้องใช้ Server ของ Azure เท่านั้น
  2. การแก้ชื่อ Column เป็นภาษาไทยทำให้รายงานเสียได้ในบางครั้ง
  3. การแสดงผลต้องแสดงผลในขอบเขตของฟังก์ชั่นในโปรแกรม
  4. หากไม่อัพเดต Power BI Desktop จะไม่รองรับ Custom Visual ตัวใหม่บางตัว
  5. ค่าของข้อมูลวันที่จะแปลกในบางกรณี เช่น ไม่สามารถ Sort ได้
  6. มีข้อจำกัดค่อนข้างสูง เช่น ไม่รองรับ Discrete ในกราฟบางรูปแบบ
  7. ไม่สามารถกดเลือก Filter แล้วกด Apply ได้ ทำให้ทุกครั้งที่เลือกก็จะต้องรอโหลดใหม่
  8. ถ้าใช้ Custom visual จะทำให้ Performance ต่ำกว่าตัว Visual ที่มีอยู
  9. เชื่อมกับไฟล์ได้ไม่หลากหลายประเภทหากใช้แบบ Online-

ราคา | Power BI

  • Power BI แบบ Pro = 3,836.16 บาท/License (ขั้นต่ำ 1 License)
  • Power BI แบบ Premium 1,918,080.00 บาท/License (ขั้นต่ำ 1 License)

ข้อดี | Oracle

  1. มี Machine Learing ในตัว ทำให้มีความสามารถในการวิเคราะห์ เบื้องต้นได้
  2. มีรูปแบบการใช้งานง่าย
  3. ทำงานกับ Oracle Database แล้วสามารถแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว

ข้อเสีย | Oracle

  1. ใช้ได้แค่กับ Oracle Database และไฟล์ Excel เท่านั้น
  2. หาตัวทดลองใช้ได้ยาก
  3. Community เล็ก ทำให้มีข้อมูลเพื่อมองหาการแก้ปัญหาด้วยตัวเองน้อย

ราคา | Oracle

  • 40,000 บาท/License (ขั้นต่ำ 1 License)

ข้อดี | Qlik

  1. สามารถจัดการข้อมูลและเลือกการแสดงตำแหน่งได้ง่าย
  2. ใช้งานง่ายเหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไป

ข้อเสีย | Qlik

  1. การทำงานในระบบใหญ่ ควรมี 2 โปรแกรมในการทำงานร่วมกัน Qlik View สำหรับแสดงผล, Qlik Sence สำหรับ Data Management
  2. การ Implement ยากมาก และใช้เวลานาน ประมาณ 6-12 เดือน
  3. ผู้ใช้งานอาจพบปัญหาเมือใช้กับข้อมูลขนาดใหญ่
  4. ราคาสูง

ราคา | Qlik

  • Qlik Sense = 2,265.90 บาท/License (ขั้นต่ำ 1 License)
  • QlikView Enterprise *ต้องติดต่อเซลล์.

ข้อดี | Data Studio

  1. ใช้งานง่ายเหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มากนัก
  2. มีการสอนใช้งานจาก Google อย่างเป็นระบบ
  3. มี Template เป็นตัวอย่างในหลายๆรูปแบบ
  4. เหมาะกับกลุ่มที่มีการใช้ข้อมูลผ่าน Google App
  5. มีระบบ Compare data กับ เวลาในอดีต โดยระบบจะคำนวณให้อัตโนมัติ
  6. มีระบบ Auto Report Scheduling สามารถตั้งค่าเวลา ที่ให้ระบบส่ง Report ให้ทาง E-mail ได้โดยอัตโนมัติ
  7. ระบบการจัดหน้าแบบ Grid ทำให้รูปแบบของ Report ทำให้มีความเรียบร้อยได้ง่าย
  8. สามารถ แก้ไข ชื่อ Column ของ ข้อมูล ได้ง่าย
  9. มี Theme ให้เลือกหลายรูปแบบ และสามารถสร้างเองได้
  10. สามารถ Copy and Paste กราฟ ได้ทุกประเภท
  11. สามารถสร้าง Chart Group ได้

ข้อเสีย | Data Studio

  1. ไม่สามารถรองรับไฟล์ csv ขนาดเกิน 100 Mb ได้
  2. ไม่สามารถรองรับไฟล์ Excel
  3. Chart แต่ละชนิดมีการตั้งค่าที่ไม่เหมือนกัน
  4. การเชื่อมข้อมูลเป็นไปได้ยากกว่า BI อื่น ๆ ครับ เพราะ Module Data Blending ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
  5. Filter ไม่รองรับภาษาไทย
  6. ไม่สามารถแยก Filter ในหน้าเดียวกันได้
  7. กราฟบางรูปแบบจำกัดจำนวน ผล ที่จะแสดง ซึ่งสามารถต้องค่าข้อจำกัดนี้ได้ แต่จะส่งผลต่อความเร็วในการแสดงผล
  8. ไม่สามารถสร้าง Filter ที่เป็นลักษณะ Input ได้
  9. ไม่สามารถกดเลือก Filter แล้วกด Apply ได้ ทำให้ทุกครั้งที่เลือกก็จะต้องรอโหลดใหม่
  10. หากต้องการ ตรวจสอบ หรือ ทดลองใช้งาน Dashboard ที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา จะไม่สามารถ Hide หน้านั้นได้ ทำให้ User จะเห็น Dashboard นั้นเช่นเดียวกับผู้พัฒนา
  11. ไม่สามารถสร้าง Page ที่มีขนาดแตกต่างกันได้
  12. ไม่สามารถใช้งาน Offline ได้

ราคา | Data Studio

  • ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ข้อดี | Superset

  1. ไม่มีค่าใช้จ่ายในด้าน License
  2. ไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้
  3. มีระบบการขออนุญาตเข้าใช้งานอย่างละเอียด
  4. มี SQL Lab และ Database Client
  5. Support พวก Allowhost ได้
  6. Diagram เยอะ (D3.js) Support ทุก Database ตาม SQLAlchemy
  7. สามารถ Customise รูปแบบ และ Function ต่างๆ ได้ หากมีความรู้เชิง Programming
  8. รองรับการดู Report ผ่านโทรศัพท์มือถือ

ข้อเสีย | Superset

  1. ไม่มีแหล่งข้อมูลการใช้งานที่มากพอ ทำให้การใช้งานในบางขั้นตอน สามารถทำให้สำเร็จได้โดยยาก
  2. มีข้อจำกัดในจำนวนข้อมูลรับได้สูงสุด 50,000 Rows
  3. สามารถใช้แหล่งข้อมูลหลากหลายใน Dashboard เดียวกันไม่ได้
  4. ปรับแต่งสีไม่สวย ต้องใส่โค้ดเพิ่มเอง
  5. Error Code ไม่ชัดเจน
  6. Chart หลาย จำนวนมาก ถูกสร้างขึ้นเพื่อ Support ธุรกิจของผู้พัฒนา ทำให้ไม่ตอบโจทย์ธุรกิจอื่น ๆ และ บางกราฟ ไม่สามารถหาคำอธิบายวิธีการใช้ได้
  7. ไม่สามารถปรับแต่ง Tooltips ได้3

ราคา | Superset

  • ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

หมายเหตุ : ราคาที่นำเสนอใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงิน 1 ดอลล่าร์ เท่ากับ 32 บาท และอาจมีการปรับเปลี่ยนได้

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากเพจ FB : Data Driven Business by Coraline

Big Data คืออะไร มีความสำคัญหรือไม่ ?

0
Big Data บิ๊กดาต้า
Big Data บิ๊กดาต้า

เพื่อนๆ หลายๆ คน คงเคยได้ยินคำว่า บิ๊กดาต้า (Big Data) ผ่านหู ผ่านตา กันมาบ้างแล้ว ในช่วงเวลา 4-5 ปี ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเป็นกระแสที่แรงมากๆ ในตอนนี้ ทั้งองค์กร ภาครัฐ ภาคเอกชน ต่างพลักดันโครงการบิ๊กดาต้าให้เกิดขึ้นในองค์กรของตน วันนี้ POWER OF DATA จะพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับ บิ๊กดาต้า (Big Data) กันครับ

บิ๊กดาต้า (Big Data)

คือ เทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมไอทีรุ่นใหม่ ที่ได้รับการออกแบบให้สามารถรองรับการจัดเก็บ การวิเคราะห์ และการใช้งานดาต้าที่มีปริมาณมหาศาล (volume) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระดับนาทีหรือวินาที (velocity) และมีความหลากหลาย ทั้งจากประเภทของตัวดาต้าเอง และจากแหล่งที่มาของดาต้าที่แตกต่างกัน (variety) ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมไอทีแบบเดิม

คุณสมบัติของ Big Data 

Volume ปริมาณของข้อมูล
ปัจจุบันมีปริมาณของข้อมูลจำนวนมาก โดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากเครือข่ายสังคม (Social network) เช่น Facebook, Youtube, Twitter, Instagram และ Tiktok เป็นต้น ถ้าลองมองง่ายๆ ว่าข้อมูลนั้นมีเยอะขนาดไหน ก็ดูได้จากที่ปัจจุบันซึ่งเป็นสถิติคนที่มีความเลื่อนไหวของเดือนมกราคม 2020 โดย Facebook 2,449 ล้านบัญชี Youtube 2,000 ล้านบัญชี Twitter 340 ล้านบัญชี Instagram 2,000 ล้านบัญชี และ Tiktok 800 ล้านบัญชี

Velocity ความเร็วของข้อมูล
ด้วยความเร็วที่สูงขึ้นของการสื่อสาร และการพัฒนาของระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลในปัจจุบันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น อย่างในเดือนมกราคม 2020 คนอัพโหลดรูปผ่าน Facebook ถึง 300 ล้านรูปต่อวัน ผ่าน Youtube มีคนอัพโหลดวีดีโอความยาว 300 ชั่วโมงต่อ 1 นาที ผ่าน Twitter มีคนทวิส 140 ล้านครั้งต่อวัน ผ่าน Instagram มีคนอัพโหลด 90 ล้านรูปต่อวัน

Variety ความหลากหลายของข้อมูล
ข้อมูลนั้นมีรูปแบบที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย ข้อความ คลิปวิดีโอ เป็นต้น ยิ่งมีการพัฒนาระบบ IoT มากขึ้นเท่าใด ข้อมูลที่ออกมาก็ยิ่งมีรูปแบบที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก

Big data มีประโยชน์อย่างไร

  • ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น บริษัท ยาสีฟันใช้ข้อมูลยอดขายย้อนหลัง 5 ปี มาประมวลผลและทำนายยอดขายล่วงหน้าของปีถัดไป เพื่อวางแผนการทำงานของปีถัดไป
  • ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาและช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การหาวิธีเพิ่มยอดขาย
  • ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำการตลาด (Marketing) หรือนำเสนอสินค้าและบริการ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายมากขึ้น เช่น แนะนำแนวเพลงที่ลูกค้าน่าจะชอบ สินค้าที่ลูกค้าสนใจ
  • ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสรัางความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เช่น สิ่งของขวัญที่ตรงกับ Lifestlye ของลูกค้า
  • ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในภาคธุรกิจ ภาครัฐ
big data life cycle

ขั้นตอนในการสร้าง Big Data มีดังนี้

  1. Problem analysis วิเคราะห์และระบุโจทย์สิ่งที่เราอยากรู้ ปัญหาที่เราต้องการแก้
  2. Data Preparation เตรียมข้อมูลให้พร้อมปรับเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ครบถ้วน ถูกต้อง
  3. Modeling ออกแบบโครงสร้างข้อมูลให้ตอบโจทย์ในสิ่งที่เราอยากรู้ หรือปัญหาที่เราต้องการแก้
  4. Data Analytics นำข้อมูลที่เตรียมไว้มาวิเคราะห์ เพื่อหาความสัมพันธ์ เพื่อเข้าใจสาเหตุของปัญหา เพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และนำไปสู่แนวทางแก้ไขปัญหา ที่เราตั้งเอาไว้
  5. Deployment นำผลที่ได้จากการวิเคราะห์ไปแสดงผล และใช้งานต่อ เช่น ออก report, Dashbord และนำแนวทางการแก้ปัญหาจากการวิเคราะห์ไปปฏิบัติจริง
  6. Evaluation/Monitoring ประเมินว่าผลที่ได้จากการวิเคราะห์มีความถูกต้อง แม่นยำ เป็นประโยชน์หรือไม่ หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ได้จากการวิเคราะห์มีประสิทธิภาพต่อโจทย์ที่ตั้งไว้หรือไม่

ตัวอย่างของ บริษัทที่นำ big data ไปใช้ และประสบความสำเร็จ

Amazon

ยักษ์ใหญ่ทางด้านขายปลีกที่วันหนึ่งๆมีข้อมูลลูกค้าให้จัดการมหาศาล ทั้งข้อมูลชื่อลูกค้า ที่อยู่ ข้อมูลการชำระเงิน และประวัติการค้นหา ข้อมูลเหล่านี้แน่นอนว่าถูกเก็บเอาไว้ใช้เพื่อการโฆษณา แต่ในขณะเดียวกัน Amazon ก็ใข้มันในการพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งต้องอาศัย Big Data เป็นตัวช่วย

หากคุณเคยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของ Amazon มาก่อน ก็ไม่ต้องแปลกใจไปหากคุณโทรเข้าไปอีกครั้งแล้วพบว่าเจ้าหน้าที่ของ Amazon จะรู้รายละเอียดและข้อมูลของคุณดีเหลือเกินก่อนที่คุณจะได้ปริปากบอกซะอีก เพราะนั้นคือผลงานของ Big Data ในการช่วยให้เจ้าหน้าที่ของ Amazon บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

Netflix

บริษัทผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายใหญ่ที่มีข้อมูลอยู่ในมือมหาศาล เพื่อใช้ในการวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึกเพื่อดูพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าหลายล้านคนทั่วโลก Netflix ใช้ข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ในการสร้างโปรแกรมการฉายหนังที่ถูกใจลูกค้า และใช้เพื่อดูว่าภาพยนต์เรื่องไหนที่ควรซื้อลิขสิทธิ์เอามาลงใน Netflix

ตัวอย่างเช่น Netflix พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนังของ อดัม แซนเลอร์ ไม่เป็นที่ชื่นชอบเท่าไหร่ในสหรัฐฯและอังกฤษ แต่กลับไฟเขียวให้กับหนังของอดัมถึง 4 เรื่องในปี 2015 หลังจากพบว่าหนังล่าสุดของเขาประสบความสำเร็จในละตินอเมริกา

Starbucks

คุณเคยสงสัยมั๊ยว่าทำไม Starbucks ถึงสามารถเปิดหลายสาขาในบริเวณใกล้ๆกันได้ โดยไม่เจ๊งเลยสักร้าน? นั้นก็เพราะ Starbucks ใช้ Big Data ในการวิเคราะห์หาความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จของแต่ละโลเคชั่นที่ไปตั้ง ด้วยการเก็บข้อมูลสถานที่ตั้ง การจราจร ข้อมูลประชากรในพื้นที่ และพฤติกรรมผู้บริโภค

การวิเคราะห์และประเมินแบบนี้เอง ที่ช่วยให้ก่อนจะตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ของ Starbucks สามารถคำนวณและประมาณการได้ว่าเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นนั้นมีเท่าไหร่ หากเลือกจะไปเปิดสาขาที่สถานที่นั้นๆ ถือเป็นประโยชน์และมีผลต่ออัตตราการเติบโตของผลกำไรของ Starbucks มาก

อ้างอิง: 
สำนักส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
CAT big data
Big data experience
Dustin Stout

ข้อมูล (Data) คือ อะไร

0

ข้อมูล (Data) คือ “ข้อเท็จจริงซึ่งใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการอธิบายเหตุผล การสนทนา หรือการคำนวณ” ข้อมูลจัดเป็นองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อน หน่วยงาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกระบวนการปฏิบัติงาน เทคโนโลยีสารสนเทศ สถานที่ รวมถึงบุคลากร

ข้อมูลจึงเปรียบเสมือนทรัพย์สินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับทรัพย์สินประเภทอื่น ดังนั้นหน่วยงานจึงจำเป็นต้องมีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและคุณภาพของข้อมูล เช่น การรักษาความลับของข้อมูล (Confidentiality) การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถใช้งานข้อมูลได้ (Loss of Availability) การรักษาความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล (Integrity) การทำให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ (Timeliness) ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อการตัดสินใจทั้งในระดับปฏิบัติการและระดับยุทธศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ประเภทข้อมูล (Types of Data) ข้อมูลถูกจัดแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

  1. ข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Structured Data) เป็นข้อมูลที่มีการนิยามโครงสร้างของข้อมูลไว้ โดยนิยามความหมายและคุณสมบัติของแต่ละฟิลด์ข้อมูล โครงสร้างมีชั้นเดียวทำให้ง่ายต่อการค้นหา เช่น ตารางข้อมูลในฐานข้อมูล Comma-Separated Values – CSV
  2. ข้อมูลกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Data) เป็นข้อมูลที่มีการนิยามโครงสร้างของข้อมูลไว้ แต่โครงสร้างเป็นแบบลำดับขั้น (Hierarchy) เช่น Extensible Markup Language – XML , JavaScript Object Notation – JSON
  3. ข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เป็นข้อมูลที่ไม่ได้มีการนิยามโครงสร้างของข้อมูลไว้ มักจะอยู่ในรูปแบบ เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง วีดิทัศน์

ชุดข้อมูล (Datasets) คือ “ข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้ โดยปกติอยู่ในรูปแบบของตารางข้อมูล” ซึ่งการรวบรวมข้อมูลนี้มาจากหลายแหล่ง และนำข้อมูลมาจัดเป็นชุดให้ถูกต้องตามลักษณะโครงสร้างข้อมูลที่กำหนดไว้ ดังตัวอย่างข้างล่าง เป็นตัวอย่างชุดข้อมูลพนักงานในรูปแบบตารางข้อมูลหรือข้อมูลที่มี โครงสร้าง (Structured Data) มีทั้งหมด 3 แถว 5 ฟิลด์ (Data Field/Element/Attribute) ได้แก่ ชื่อ นามสกุล เพศ อายุ และระดับการศึกษา

ชื่อนามสกุลเพศอายุระดับการศึกษา
วิชัย ใจดีชาย26ปริญญาตรี
วิมลมาสวงศ์สกุลหญิง30ปริญญาโท
พิเชษฐ์วิเศษศิลป์ชาย27ปริญญาตรี

ฐานข้อมูล (Database) คือ “กลุ่มข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันได้ถูกรวบรวมเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งสนับสนุนกิจกรรมของหน่วยงาน” หรือกล่าวได้ว่า แต่ละฐานข้อมูลจะประกอบไปด้วยหลาย ๆ ชุดข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน ดังตัวอย่างข้างล่าง

อ้างอิง
ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (DATA GOVERNANCE)

ซื้อ The Ordinary | ดิ ออดินารี่ ได้จากที่ไหน

0
The Ordinary ดิ ออดินารี่

แบนด์ The Ordinary | ดิ ออดินารี่ สกินแคร์จากประเทศแคนาดา ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักแบนด์นี้ เป็นแบนด์ยอดฮิตที่เหล่า beauty blogger จากทั่วโลกใช้และรีวิว ด้วยราคาหลักร้อย แต่คุณภาพดีเท่าครีมเคาท์เตอร์แบรนด์ ทำให้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก บวกกับทางแบนด์ที่เน้นงานวิจัย เพื่อนำมาสร้างสินค้า ทำให้มีความน่าเชื่อถือและเป็นแบนด์ในดวงใจของใครหลายๆ คน
แต่ปัญหา คือ แบนด์นี้มีหน้าร้านและสาขาไม่เยอะ โดยมีอยู่ในต่างประเทศเท่านั้น ส่วนประเทศไทยยังไม่มีสาขา ซึ่งสาขาในต่างประเทศประกอบด้วย แคนาดา อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ฮ่องกง เม็กซิโก และเนเธอร์แลนด์ เท่านั้น


แล้วเราจะหาซื้อ The Ordinary |ดิ ออดินารี่ ได้ที่ไหน เราสามารถสั่งซื้อออนไลน์ผ่านช่องทางของเว็บไซต์ The Ordinary | ดิ ออดินารี่ โดยตรง โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ https://theordinary.deciem.com ซึ่งเป็นเว็ปไซต์หลักที่อยู่ที่ประเทศอเมริกา ดังนัั้นสินค้าก็จะส่งตรงมาจากที่นั้น แต่ช้าก่อน ก่อนที่จะกดสั่งซื้อเราขอบอกว่า อาจจะเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนัก เนื่องจาก ค่าส่งสินค้ามาที่เมืองไทยนั้นแพงมากอยู่ที่ 38 USD (ประมาณ 1,200 บาท) สินค้าถูกก็จริงแต่รวมค่าส่งสินค้าเข้าไปก็แพงอยู่ดี และหากเพื่อนๆ สั่งซื้อสินค้าที่มีมูลค่ารวมกันเกิน 1,500 บาท (รวมค่าขนส่ง) เพื่อนๆ ต้องเสียภาษีศุลกากร 30 % และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % รวมเป็น 37 % ตัวอย่างเช่น มูลค่าสินค้า (รวมค่าขนส่ง) 2,000 บาท เพื่อนๆ ต้องเสียภาษีรวม 740 บาท ดังนั้นต้องจ่ายเงินทั้งหมด 2,740 บาท แทนที่จะได้ของถูกกลับกลายเป็นว่าได้ของแพงและยังต้องรอสินค้า 2-3 สัปดาห์ กว่าจะส่งมาถึงมือเรา

 


แต่เพื่อนๆ ไม่ต้องกังวล วันนี้ออกเดินทางได้หาทางออกมาให้เพื่อนๆ แล้ว โดย IN TOMY SHOP | อิน ทูมาย ช็อป ได้นำเข้า The Ordinary ดิ ออดินารี่ มาจากต่างประเทศให้แล้ว มีสินค้าที่พร้อมจัดส่งให้เพื่อน ๆ ภายใน 2-3 วัน แถมมีโปรโมชั้นจัดส่งให้ฟรีอีกด้วย ส่วนเรื่องราคาบอกเลยว่าบวกเอากำไรเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเค้าอยากให้เพื่อนๆ ได้ใช้ของดีๆ ในราคาไม่แพง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปสั่งซื้อได้เลยที่เว็บไซต์ ด้านล่าง
https://www.intomyshop.net/product-category/theordinary/


สำหรับเพื่อนๆ คนไหนไม่ถนัดสั่งซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทาง FB, IG และ LINE ได้เช่นกัน
FB : อิน ทูมาย ช็อป
IG : IN TOMY SHOP
Line : @INTOMYSHOP
www.intomyshop.net

 


 

ออกเดินทาง

กด LIKE และ FOLLOW แฟนเพจ Fackbook ออกเดินทาง ไว้ เพื่อรอลุ้นห้องพักแบบฟรี ๆ จากเราได้เลย
ฝากเพื่อนๆ ติดตามช่องทางอื่นๆ ด้วยนะครับ
แล้วเราจะ ” ออกเดินทาง ” ไปด้วยกันครับ

ขั้นตอนการทำ Data Analytics เพื่อหา insight ของข้อมูล

0
ขั้นตอนการทำ Data Analytics เพื่อหา Insight ของข้อมูล

วันนี้ Power Of Data จะมาแชร์ความรู้ของการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหา insight ของข้อมูลกันครับ เราคิดว่าเพื่อนๆ หลายคนยังงงกันว่า การทำ Data Analytics จะเริ่มต้นที่ตรงไหน
ขั้นตอนการทำ Data Analytics มี 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย

1. Descriptive Analytics
เป็นการตั้งคำถามกับข้อมูลว่า “What Happened ?” มีอะไรเกิดขึ้น ? เน้นการวิเคราะห์แบบตัวแปรเดียว (Univariate) แล้วใช้ Aggregate Function เช่น Sum, Average, Max, Min ช่วยคำนวณ เช่น ยอดขายเดือนนี้เป็นเท่าไร / มีลูกค้าจำนวนกี่คน

2. Diagnostic Analytics
เป็นการตั้งคำถามกับข้อมูลว่า “Why it happened ?” ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ? เน้นการวิเคราะห์ในหลาย ๆ มุม หลายตัวแปรมากขึ้น (Multivariate) อาจเป็นการดูข้อมูลมากกว่า 2 ตัวแปรเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น สภาพอากาศมีผลต่อยอดขายหรือไม่ / โปรโมชันส่งผลให้จำนวนลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างไร

3. Predictive Analytics
เป็นการตั้งคำถามกับข้อมูลว่า “What might happen ?” อะไรน่าจะเกิดขึ้นต่อไป ? มักจะใช้เทคนิคการทำ Data Mining / Machine Learning สร้างสมการเพื่อนำมาพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือหา Pattern บางอย่างของข้อมูล เช่น ยอดขายเดือนต่อไปจะเป็นอย่างไร / ลูกค้าคนไหนที่มีโอกาสหายไปบ้าง

4. Prescriptive Analytics
เป็นการตั้งคำถามกับข้อมูลว่า “What should we do ?” แล้วเราควรจะทำอะไรต่อไป ? มักใช้เทคนิค Optimization เพื่อหาจุดที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในข้อจำกัดต่างๆ (เลือก X ที่ทำให้ได้ Y ที่ดีที่สุด) ต่างจาก Predictive ที่เราต้องกำหนดค่า X เองเพื่อหา Y เช่น จะไปเยาวราชต้องเลือกไปเส้นทางไหนไวที่สุด / ต้องสต๊อกสินค้าเท่าไรถึงจะมีต้นทุนต่ำที่สุด แต่ขายได้กำไรมากที่สุด

หลาย ๆ ครั้งเรามักจะอยากกระโดดข้ามไปทำ Predictive หรือ Prescriptive เลย เพราะคิดว่าจะต้องได้ประโยชน์มาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำ Descriptive และ Diagnostic ก็ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้ดีมากเช่นกัน

สำหรับมือใหม่แล้ว อยากให้ลองเริ่มจากการวิเคราะห์ง่าย ๆ ดูก่อน ตั้งคำถามให้เป็น หาคำตอบให้ถูกต้อง เท่านี้ก็สามารถใช้ข้อมูลได้อย่างเป็นประโยชน์แล้ว

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากแฟนเพจ Data Café Thailand


ออกเดินทาง

กด LIKE และ FOLLOW แฟนเพจ Fackbook ออกเดินทาง ไว้ เพื่อรอลุ้นห้องพักแบบฟรี ๆ จากเราได้เลย
ฝากเพื่อนๆ ติดตามช่องทางอื่นๆ ด้วยนะครับ
แล้วเราจะ ” ออกเดินทาง ” ไปด้วยกันครับ